Type Here to Get Search Results !

ADS

Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker (2019)

Adamz 0

 

Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker (2019)
Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker (2019)


🌌 Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker (2019) บทสรุปแห่งตำนานสกายวอล์คเกอร์ กับพลังสุดท้ายของ Force

กว่า 40 ปีแห่งตำนาน Star Wars (สตาร์วอร์ส) ที่เริ่มต้นจากปี 1977 ในที่สุดก็เดินทางมาถึงบทสรุปในภาคที่ 9 — Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker (2019) ภาพยนตร์ที่เป็นเหมือนการปิดฉากมหากาพย์ “Skywalker Saga” อย่างยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยอารมณ์ ทั้งความสูญเสีย ความหวัง และพลังแห่ง Force ที่คงอยู่ตลอดกาล



ภาคนี้กำกับโดย J.J. Abrams ผู้ที่เคยปลุกจักรวาลนี้ให้กลับมามีชีวิตใน “The Force Awakens (2015)” และครั้งนี้เขากลับมาเพื่อปิดฉากตำนานให้สมบูรณ์ที่สุด


🌠 เรื่องย่อ: พลังแห่งความมืดที่ฟื้นคืนชีพ

“The Rise of Skywalker” เปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนกาแล็กซี่ เมื่อมีข่าวลือว่า จักรพรรดิ Palpatine (Ian McDiarmid) ผู้นำสูงสุดของจักรวรรดิในอดีต ได้ฟื้นคืนชีพและกลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปใน “Return of the Jedi (1983)”

Kylo Ren (Adam Driver) ผู้นำสูงสุดของ First Order ได้ออกตามหาแหล่งพลังของจักรพรรดิ และได้พบดาวลึกลับชื่อว่า Exegol ซึ่งเป็นฐานลับของพลังด้านมืด ในขณะเดียวกัน Rey (Daisy Ridley) ก็กำลังฝึกฝนวิถีเจไดกับ Leia Organa (Carrie Fisher) เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย

เมื่อข่าวการกลับมาของ Palpatine แพร่กระจาย Resistance ที่เหลืออยู่ต้องรวมพลังครั้งใหญ่สุดท้าย เพื่อหยุดยั้งการกลับมาของเผด็จการจักรวรรดิอีกครั้ง


⚔️ Rey และ Kylo Ren: ศัตรูที่มีสายสัมพันธ์ลึกลับ

ความสัมพันธ์ระหว่าง Rey และ Kylo Ren คือหัวใจของเรื่อง พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ศัตรู แต่มีสายใยของ Force ที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ภาคนี้เปิดเผยความจริงอันช็อกโลกว่า Rey คือหลานของจักรพรรดิ Palpatine ซึ่งเป็นผู้ที่มีพลัง Force เข้มข้นที่สุดในด้านมืด

การเปิดเผยนี้ทำให้ Rey ต้องต่อสู้กับความจริงในใจ — เธอจะยอมตกอยู่ในเงามืดของบรรพบุรุษ หรือจะเลือกเส้นทางของตนเองเพื่อกลายเป็นเจไดอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน Kylo Ren เองก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เขาเริ่มรู้สึกถึงความสำนึกและพลังด้านสว่างที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจ

ฉากการต่อสู้บนซากยาน Death Star ที่ล่มสลายคือหนึ่งในฉากที่ทรงพลังที่สุดของภาพยนตร์ ทั้งในด้านเทคนิคภาพและอารมณ์ระหว่างตัวละครสองคนที่ต่างพยายามค้นหาความหมายของตนเองใน Force


💫 การกลับมาของตำนาน Luke และ Leia

แม้ว่า Luke Skywalker (Mark Hamill) จะเสียชีวิตในภาคก่อนหน้า แต่จิตวิญญาณของเขายังกลับมาในรูปแบบของ “Force Ghost” เพื่อชี้ทางให้ Rey เดินไปสู่เส้นทางของเจไดที่แท้จริง ฉากที่ Luke ส่งดาบแสง (Lightsaber) ให้ Rey พร้อมคำพูดว่า “A Jedi’s weapon deserves more respect.” กลายเป็นสัญลักษณ์ของการส่งต่อพลังอย่างแท้จริง

ส่วน Leia Organa ที่แสดงโดย Carrie Fisher ซึ่งเสียชีวิตก่อนภาพยนตร์จะเสร็จสิ้น ทีมผู้สร้างได้ใช้ฟุตเทจที่ยังไม่เคยเผยแพร่จากภาคก่อนมาประกอบเข้ากับเนื้อเรื่องอย่างกลมกลืน เพื่อให้เธอได้มีส่วนร่วมในการปิดฉากตำนานนี้อย่างสมศักดิ์ศรี


🚀 การกลับมาของพันธมิตรและความหวังใหม่

ใน “The Rise of Skywalker” แฟน ๆ ได้เห็นการกลับมาของตัวละครที่คุ้นเคย เช่น Lando Calrissian (Billy Dee Williams) ที่มานำกองยานพันธมิตรเข้าร่วมศึกสุดท้าย ฉากการต่อสู้ทางอวกาศในช่วงไคลแม็กซ์ถือเป็นหนึ่งในฉากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแฟรนไชส์ Star Wars

การที่ Resistance รวมพลังจากดาวทั่วกาแล็กซี่เพื่อต่อกรกับกองทัพ Final Order ของ Palpatine คือสัญลักษณ์ของ “ความหวัง” ที่ไม่มีวันดับ แม้จะต้องเผชิญกับความมืดเพียงใดก็ตาม


🌌 ฉากไคลแม็กซ์แห่งตำนาน

ฉากสุดท้ายของ “The Rise of Skywalker” คือการต่อสู้ระหว่าง Rey และ Palpatine บนดาว Exegol ที่เต็มไปด้วยพลังด้านมืด Rey ใช้พลังของเจไดรุ่นก่อนทั้งหมดที่สื่อสารผ่าน Force เพื่อเอาชนะจักรพรรดิในตำนาน

ประโยค “I am all the Jedi.” ของ Rey กลายเป็นคำพูดในตำนานที่สรุปทุกสิ่งเกี่ยวกับ Star Wars — พลังของเจไดไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง แต่คือพลังที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

และเมื่อ Rey ชนะ เธอก็เลือกที่จะนำชื่อ Skywalker มาใช้แทน “Palpatine” เพื่อเป็นการปิดฉากตำนานอย่างงดงาม พร้อมฉากสุดท้ายที่เธอยืนมองแสงอาทิตย์คู่บนดาว Tatooine สถานที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อปี 1977


🎶 ดนตรีแห่ง Force จาก John Williams

เช่นเดียวกับภาคก่อน ๆ John Williams กลับมาสร้างสรรค์ดนตรีที่อลังการและเต็มไปด้วยอารมณ์ เขาได้ผสมผสานธีมเพลงของเจไดจากยุคดั้งเดิมเข้ากับท่วงทำนองใหม่ของ Rey ได้อย่างกลมกลืน

เสียงดนตรีในฉากสุดท้ายที่ Rey ฝังดาบของ Luke และ Leia ไว้ใต้ผืนทราย ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ทั้งเศร้าและอบอุ่นที่สุดของ Star Wars ทั้งหมด


🌠 เสียงตอบรับและบทสรุปของยุค Skywalker

“The Rise of Skywalker” ได้รับเสียงวิจารณ์ที่หลากหลาย บางคนชื่นชมในความยิ่งใหญ่และความตั้งใจของทีมงานในการปิดฉากตำนาน แต่บางส่วนรู้สึกว่ามีจังหวะที่เร่งรีบและพล็อตที่ซับซ้อนเกินไป

อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังทำรายได้ทั่วโลกกว่า 1.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นจุดจบที่สมบูรณ์สำหรับ “Skywalker Saga” ซึ่งกินเวลายาวนานถึง 9 ภาค


🌌 ข้อคิดจาก The Rise of Skywalker

ภาคนี้ไม่เพียงแต่สรุปเรื่องราวของเจไดและซิธเท่านั้น แต่ยังสื่อสารแนวคิดสำคัญของ “Star Wars” ว่า “พลัง (Force)” ไม่ได้จำกัดอยู่ในสายเลือดหรือชาติกำเนิด แต่เป็นพลังที่อยู่ในทุกคนที่เลือกจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง

Rey คือสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมให้ความมืดครอบงำ แม้จะมาจากเงาของความชั่วร้าย เธอก็เลือกที่จะเป็น “Skywalker” ด้วยการกระทำของตนเอง


✨ สรุป: การปิดฉากที่สวยงามของตำนาน 42 ปี

“Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker (2019)” คือบทสรุปที่เต็มไปด้วยพลังและอารมณ์ มันไม่ได้เพียงปิดฉากตำนานของ Skywalker เท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันว่า “ความหวัง” จะไม่มีวันตายตราบใดที่ยังมีผู้คนเชื่อในพลังของแสง

จาก Luke, Leia, Han Solo สู่ Rey, Finn, Poe และคนรุ่นใหม่ — นี่คือการส่งต่อไฟแห่งความดีที่จะส่องสว่างในกาแล็กซี่ตลอดไป 🌠


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น
* Please Don't Spam Here. All the Comments are Reviewed by Admin.

Top Post Ad

Bottom Post Ad

Ads