Type Here to Get Search Results !

ADS

Rogue One: A Star Wars Story (2016)

Adamz 0

 

Rogue One: A Star Wars Story (2016)
Rogue One: A Star Wars Story (2016)


Rogue One: A Star Wars Story (2016) – ตำนานแห่งการเสียสละก่อนสงครามดาวมรณะ

“Rogue One: A Star Wars Story (2016)” คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่สร้างความแตกต่างให้กับจักรวาล Star Wars อย่างแท้จริง โดยหนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นภาคต่อของ “Star Wars Episode VII: The Force Awakens” แต่เป็นเรื่องราวเสริมที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ใน Star Wars: Episode IV – A New Hope (1977) และเป็นสะพานสำคัญที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ระหว่างภาคเก่ากับภาคใหม่ได้อย่างลงตัว



ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างโดย Lucasfilm และจัดจำหน่ายโดย Walt Disney Studios Motion Pictures กำกับโดย Gareth Edwards ผู้กำกับที่เคยฝากผลงานไว้กับ “Godzilla (2014)” ซึ่งในเรื่องนี้เขาสามารถผสมผสานความยิ่งใหญ่ของสงครามอวกาศเข้ากับอารมณ์ของ “ความเป็นมนุษย์” ได้อย่างยอดเยี่ยม


เรื่องย่อของ Rogue One: A Star Wars Story (2016)

เรื่องราวของ “Rogue One” เริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาที่จักรวรรดิกาแล็กซี่ (Galactic Empire) กำลังสร้างอาวุธทำลายล้างจักรวาลที่รู้จักกันในชื่อ Death Star หรือ “ดาวมรณะ” อาวุธที่สามารถทำลายดาวเคราะห์ได้ทั้งดวง

จิน เออร์โซ (Jyn Erso) ลูกสาวของนักวิทยาศาสตร์ เกเลน เออร์โซ (Galen Erso) คือผู้ที่รู้ความลับเกี่ยวกับการสร้างดาวมรณะ เมื่อเธอถูกฝ่ายกบฏ (Rebel Alliance) ดึงตัวเข้ามาเพื่อช่วยหาทางขโมยแบบแปลนของอาวุธนี้ เธอได้เข้าร่วมภารกิจสุดอันตรายกับกลุ่มทหารอิสระที่ภายหลังถูกเรียกว่า “Rogue One”

ภารกิจของพวกเขาคือการแทรกซึมเข้าสู่ฐานทัพของจักรวรรดิบนดาว Scarif เพื่อขโมยข้อมูลการสร้างดาวมรณะและส่งต่อให้ฝ่ายกบฏ นี่คือภารกิจที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะกลับออกมาได้ และกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชะตาของจักรวาล Star Wars ไปตลอดกาล


จุดเด่นของ Rogue One: A Star Wars Story

สิ่งที่ทำให้ “Rogue One (2016)” แตกต่างจากภาคอื่นของ Star Wars คือความสมจริงและโทนที่เข้มข้นกว่าเดิม หนังไม่ได้เน้นเจได (Jedi) หรือพลังแห่ง Force เป็นหลัก แต่เน้นไปที่ “มนุษย์ธรรมดา” ที่ต้องเผชิญกับสงครามใหญ่ และการเสียสละเพื่อความหวังของกาแล็กซี่

  1. โทนภาพและการเล่าเรื่องสมจริง
    Gareth Edwards ใช้เทคนิคการถ่ายทำที่เน้นกล้องมือถือและภาพโคลสอัป ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในสนามรบจริง ๆ เหมือนดูภาพยนตร์สงครามมากกว่านิยายวิทยาศาสตร์

  2. ตัวละครที่มีความลึก
    Jyn Erso แสดงโดย Felicity Jones ถ่ายทอดอารมณ์ของหญิงสาวที่สูญเสียครอบครัวและต้องต่อสู้เพื่อความถูกต้องได้อย่างทรงพลัง ขณะที่ Cassian Andor (Diego Luna) ก็เป็นตัวแทนของนักรบฝ่ายกบฏที่ต้องตัดสินใจเรื่องศีลธรรมในโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย

  3. หุ่นยนต์ K-2SO ที่เป็นที่รักของแฟนๆ
    หุ่นยนต์คู่ใจของ Cassian ที่มีนิสัยประชดประชันและมีมุกตลกที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดในเรื่อง เป็นตัวละครที่หลายคนจดจำได้มากที่สุดในหนัง

  4. ฉากจบอันทรงพลัง
    ฉากการส่งข้อมูลแบบแปลนดาวมรณะขึ้นไปยังยานฝ่ายกบฏถือเป็นหนึ่งในฉากที่แฟน Star Wars ยกให้เป็น “ฉากในตำนาน” เพราะมันเชื่อมโยงตรงเข้าสู่เหตุการณ์เปิดของ A New Hope (1977) อย่างสมบูรณ์แบบ


ความหมายลึกซึ้งและสารที่ซ่อนอยู่ใน Rogue One

หนังเรื่องนี้ไม่ได้เล่าแค่เรื่องของสงครามหรือความกล้าหาญเท่านั้น แต่ยังพูดถึง “ความหวัง (Hope)” ซึ่งเป็นธีมหลักของ Star Wars ทุกภาค
แม้ตัวละครหลักทุกคนจะไม่มีใครรอดจากภารกิจ แต่สิ่งที่พวกเขาทำได้สร้างผลสะเทือนครั้งใหญ่ พวกเขาอาจตาย แต่ “ความหวัง” ที่ส่งต่อไปยังเจ้าหญิงเลอา (Princess Leia) และฝ่ายกบฏ กลับจุดประกายให้เกิดชัยชนะในอนาคต

ในอีกมุมหนึ่ง “Rogue One” ยังแสดงให้เห็นถึงด้านมืดของสงคราม แม้แต่ฝ่ายกบฏเองก็ต้องใช้วิธีการที่ไม่สมบูรณ์แบบเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เป็นการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนและสะท้อนความจริงของโลกได้อย่างแยบยล


ทีมงานและนักแสดง

  • ผู้กำกับ: Gareth Edwards

  • เขียนบท: Chris Weitz และ Tony Gilroy

  • นำแสดงโดย:

    • Felicity Jones – Jyn Erso

    • Diego Luna – Cassian Andor

    • Donnie Yen – Chirrut Îmwe

    • Forest Whitaker – Saw Gerrera

    • Alan Tudyk – K-2SO

    • Mads Mikkelsen – Galen Erso

    • Ben Mendelsohn – Director Krennic


Rogue One และผลกระทบต่อจักรวาล Star Wars

หลังจากหนังออกฉาย “Rogue One” ได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งนักวิจารณ์และแฟนๆ ทั่วโลก เพราะมันทำให้จักรวาล Star Wars ดูมีชีวิตจริงยิ่งขึ้น และเปิดโอกาสให้เล่าเรื่องราวของ “ผู้คนทั่วไป” ที่มีส่วนสร้างประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตระกูล Skywalker

ความสำเร็จนี้ยังนำไปสู่การสร้างซีรีส์ภาคแยก Andor (2022) บน Disney+ ซึ่งเล่าเรื่องราวของ Cassian Andor ก่อนเหตุการณ์ใน Rogue One และช่วยขยายมิติของตัวละครนี้ได้อย่างลึกซึ้ง


สรุป – Rogue One: ความเสียสละที่จุดประกายแห่งความหวัง

“Rogue One: A Star Wars Story” คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของแฟรนไชส์ Star Wars เพราะมันนำเสนอเรื่องราวของการเสียสละ ความกล้าหาญ และพลังของความหวังได้อย่างน่าประทับใจ
แม้จะไม่มีเจได ไม่มีไลท์เซเบอร์มากมาย แต่ทุกฉาก ทุกตัวละคร กลับทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความหมายของคำว่า “ฮีโร่” อย่างแท้จริง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เติมเต็มช่องว่างในเนื้อเรื่องของ Star Wars เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนดูเข้าใจว่า “แม้คุณจะเป็นเพียงคนเล็กๆ ในจักรวาลใหญ่ แต่การกระทำของคุณอาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้เสมอ”


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น
* Please Don't Spam Here. All the Comments are Reviewed by Admin.

Top Post Ad

Bottom Post Ad

Ads