![]() |
Justice League (2017) |
Justice League (2017)
Justice League (2017) จัสติซ ลีก การรวมพลังฮีโร่แห่งจักรวาล DC
Justice League (2017) คือภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่สร้างจากคอมิกส์ของ DC Comics ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของ Zack Snyder และเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ใหญ่ที่สุดของจักรวาลภาพยนตร์ DC Extended Universe (DCEU) หลังจากความสำเร็จของ Man of Steel และ Batman v Superman: Dawn of Justice ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รวบรวมเหล่าฮีโร่ชื่อดังของ DC มาร่วมกันต่อสู้กับภัยร้ายที่คุกคามโลก เป็นการรวมทีมครั้งแรกของ “จัสติซ ลีก” บนจอภาพยนตร์อย่างยิ่งใหญ่
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
หลังจากเหตุการณ์ใน Batman v Superman: Dawn of Justice ที่ซูเปอร์แมนเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องโลก มนุษยชาติตกอยู่ในความสิ้นหวัง และความกลัวได้แพร่กระจายไปทั่วโลก “บรูซ เวย์น” หรือ “แบทแมน” (รับบทโดย Ben Affleck) เริ่มตระหนักว่าโลกนี้กำลังเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เขาจึงร่วมมือกับ “ไดอาน่า พรินซ์” หรือ “วันเดอร์วูแมน” (รับบทโดย Gal Gadot) เพื่อรวบรวมกลุ่มฮีโร่ที่มีพลังเหนือมนุษย์ให้รวมตัวกันเป็นทีม
ทั้งคู่เริ่มตามหาฮีโร่ที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็น “แบร์รี อัลเลน” หรือ “เดอะ แฟลช” (Ezra Miller) ผู้มีความเร็วเหนือแสง, “อาเธอร์ เคอร์รี” หรือ “อควาแมน” (Jason Momoa) เจ้าชายแห่งอาณาจักรใต้ทะเลแอตแลนติส และ “วิกเตอร์ สโตน” หรือ “ไซบอร์ก” (Ray Fisher) มนุษย์กึ่งเครื่องจักรที่มีพลังเทคโนโลยีระดับสูง
วายร้ายหลัก Steppenwolf และภัยจากต่างมิติ
ศัตรูหลักของเรื่องคือ สเต็ปเพนวูล์ฟ (Steppenwolf) ซึ่งเป็นนักรบจากต่างดาวและหนึ่งในแม่ทัพของ “ดาร์คไซด์” เจ้าแห่งอาณาจักร Apokolips เขามาที่โลกพร้อมกับกองทัพปีศาจ Parademons เพื่อรวบรวมวัตถุทรงพลังที่เรียกว่า Mother Boxes ซึ่งมีทั้งหมดสามกล่อง หากรวมเข้าด้วยกันจะสามารถทำลายและสร้างโลกใหม่ได้ในพริบตา
ในอดีต Mother Boxes เคยถูกเหล่าทวยเทพและผู้คนจากแอตแลนติสและอเมซอนร่วมกันปกป้องไว้ แต่ตอนนี้พลังเหล่านั้นกำลังตกอยู่ในมือของศัตรู ทีมจัสติซ ลีกจึงต้องร่วมมือกันเพื่อป้องกันไม่ให้ Steppenwolf ทำลายโลก
การคืนชีพของซูเปอร์แมน
แม้ทีมฮีโร่จะรวมตัวกันแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะศัตรูได้ บรูซจึงเสนอให้ใช้ Mother Box เพื่อฟื้นคืนชีพ “คลาร์ก เคนต์” หรือ “ซูเปอร์แมน” (Henry Cavill) ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ การฟื้นคืนชีพสำเร็จ แต่ซูเปอร์แมนกลับสับสนและสูญเสียความทรงจำ ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างเขากับทีมฮีโร่ ก่อนที่ “โลอิส เลน” จะเข้ามาทำให้เขาคืนสติ
เมื่อซูเปอร์แมนกลับมา ทีมจึงมีพลังที่สมบูรณ์ พวกเขาออกเดินทางไปต่อสู้กับ Steppenwolf และกองทัพของเขาในการต่อสู้สุดยิ่งใหญ่ เพื่อปกป้องโลกจากการถูกทำลาย
ฉากไคลแมกซ์อันยิ่งใหญ่
ฉากต่อสู้สุดท้ายของเรื่องเกิดขึ้นในยุโรปตะวันออก เมื่อ Steppenwolf พยายามรวม Mother Boxes ทั้งสามเข้าด้วยกัน เพื่อเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นดินแดนของ Apokolips ทีมจัสติซ ลีกต้องร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มที่ โดยแต่ละคนใช้พลังของตนเองอย่างเต็มศักยภาพ
-
แบทแมน ใช้ความฉลาดและเทคโนโลยีในการเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู
-
วันเดอร์วูแมน เข้าต่อสู้แบบประชิดตัว ใช้โล่และเชือกแห่งสัจจะจัดการศัตรู
-
แฟลช ใช้ความเร็วเหนือมนุษย์ช่วยชาร์จพลังไฟฟ้าให้ไซบอร์ก
-
ไซบอร์ก เชื่อมต่อกับ Mother Boxes เพื่อแยกมันออกจากกัน
-
อควาแมน ใช้ตรีศูลของ Poseidon และพลังแห่งน้ำในการโจมตี
-
และสุดท้าย ซูเปอร์แมน กลับมาอย่างทรงพลัง เข้าร่วมต่อสู้และช่วยหยุดการรวมพลังของ Mother Boxes ได้สำเร็จ
ในที่สุด ทีมจัสติซ ลีกก็สามารถปกป้องโลกไว้ได้ และ Steppenwolf ถูกทำลายพ่ายแพ้ไปในที่สุด
การรวมพลังของฮีโร่ และการเริ่มต้นใหม่ของความหวัง
ภาพยนตร์ Justice League ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของการต่อสู้กับวายร้ายเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความหวัง ความสามัคคี และการก้าวข้ามความแตกต่างของแต่ละคน ทุกคนในทีมมีอดีตและบาดแผลของตนเอง แต่พวกเขาเลือกที่จะรวมตัวกันเพื่อปกป้องสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือ “โลก” และ “มนุษยชาติ”
ซูเปอร์แมนที่กลับมามีชีวิตใหม่ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งความหวังที่ไม่ตาย แม้โลกจะมืดมนเพียงใดก็ยังมีแสงสว่างรออยู่เสมอ ขณะที่แบทแมนก็ได้เรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในคนอื่นอีกครั้ง หลังจากเคยผิดหวังและสูญเสียในอดีต
นักแสดงหลักและการแสดงอันทรงพลัง
หนึ่งในจุดเด่นของ Justice League (2017) คือการรวมตัวของนักแสดงระดับแนวหน้าที่รับบทเป็นฮีโร่ในตำนานของ DC Universe ได้แก่
-
Ben Affleck รับบท แบทแมน / บรูซ เวย์น
-
Henry Cavill รับบท ซูเปอร์แมน / คลาร์ก เคนต์
-
Gal Gadot รับบท วันเดอร์วูแมน / ไดอาน่า พรินซ์
-
Jason Momoa รับบท อควาแมน / อาเธอร์ เคอร์รี
-
Ezra Miller รับบท เดอะ แฟลช / แบร์รี อัลเลน
-
Ray Fisher รับบท ไซบอร์ก / วิกเตอร์ สโตน
แต่ละคนถ่ายทอดบทบาทของตนได้อย่างลงตัว ทั้งบุคลิก พลัง และอารมณ์ของตัวละคร ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงพลังของทีมอย่างแท้จริง
การกำกับและโทนของภาพยนตร์
แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างการสร้าง โดยผู้กำกับ Joss Whedon เข้ามาดำเนินการต่อหลังจาก Zack Snyder ถอนตัวไปด้วยเหตุส่วนตัว แต่โทนภาพยนตร์ยังคงความยิ่งใหญ่และเข้มข้นในแบบของ DC Universe จุดเด่นคือการใช้ภาพที่มีความสมจริง โทนสีเข้ม และมุมกล้องที่เน้นพลังและความยิ่งใหญ่ของเหล่าฮีโร่
เสียงเพลงประกอบโดย Danny Elfman ก็ช่วยเพิ่มความอลังการและอารมณ์ในแต่ละฉาก โดยเฉพาะในช่วงต่อสู้ที่ดึงอารมณ์ผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม
ปฏิกิริยาและคำวิจารณ์
เมื่อภาพยนตร์ออกฉาย Justice League (2017) ได้รับคำวิจารณ์หลากหลาย บางคนชื่นชมในความยิ่งใหญ่และการรวมตัวของฮีโร่ที่แฟน ๆ รอคอยมานาน แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ถึงบทภาพยนตร์และการตัดต่อที่ไม่ต่อเนื่อง เนื่องจากมีการเปลี่ยนผู้กำกับในช่วงกลางของการผลิต อย่างไรก็ตาม แฟน ๆ ยังคงหลงรักตัวละครและการนำเสนอที่ยิ่งใหญ่ของ DC
ต่อมาในปี 2021 มีการปล่อยเวอร์ชันใหม่ที่ชื่อว่า Zack Snyder’s Justice League ซึ่งเป็นฉบับเต็มตามวิสัยทัศน์ของผู้กำกับต้นฉบับ โดยได้รับเสียงตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากแฟน ๆ ทั่วโลก และทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
ข้อคิดจากภาพยนตร์ Justice League
เบื้องหลังการต่อสู้และพลังพิเศษ ภาพยนตร์เรื่องนี้ซ่อนข้อคิดที่ทรงพลังเกี่ยวกับ “การร่วมมือ” และ “ศรัทธาในความดี” แม้แต่ฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างซูเปอร์แมนก็ไม่สามารถปกป้องโลกได้เพียงลำพัง ทีมจัสติซ ลีกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีที่แสดงให้เห็นว่าทุกคนมีคุณค่าในแบบของตนเอง เมื่อรวมกันแล้วพวกเขาสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าคนเดียวจะทำได้
บทสรุป
Justice League (2017) คือภาพยนตร์ที่รวมสุดยอดฮีโร่จากจักรวาล DC มาร่วมกันต่อสู้เพื่อปกป้องโลก เป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานทั้งพลัง ความหวัง และอารมณ์ได้อย่างลงตัว แม้จะมีข้อบกพร่องในด้านการดำเนินเรื่อง แต่ก็ยังคงเป็นผลงานที่แฟน ๆ DC ต้องดูให้ได้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของ “ทีมซูเปอร์ฮีโร่ระดับตำนาน” ที่จะอยู่ในใจผู้ชมไปอีกนาน