![]() |
Frankenstein s Monster s Monster Frankenstein (2019) พ่อผม แฟรงเกนสไตน์ และปีศาจลึกลับ |
Frankenstein’s Monster’s Monster, Frankenstein (2019) พ่อผม แฟรงเกนสไตน์ และปีศาจลึกลับ
ภาพยนตร์แนวลึกลับปนขบขันที่หลายคนอาจมองข้าม แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากที่สุดของ Netflix เรื่อง Frankenstein’s Monster’s Monster, Frankenstein (2019) หรือในชื่อภาษาไทยว่า พ่อผม แฟรงเกนสไตน์ และปีศาจลึกลับ ผลงานสั้นแต่ทรงพลัง ที่แสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะในการเล่าเรื่องแบบเหนือชั้น ทั้งตลก เสียดสี และซ่อนแง่คิดลึกซึ้งเกี่ยวกับ “ตัวตน” ของมนุษย์
🧠 เรื่องราวสุดประหลาดของตระกูลแฟรงเกนสไตน์
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย David Harbour นักแสดงที่หลายคนรู้จักกันดีจากซีรีส์ “Stranger Things” แต่ในเรื่องนี้เขามารับบทเป็นตัวเอง ในบทบาทของนักแสดงชื่อเดียวกันที่พยายามสืบหาความจริงเกี่ยวกับพ่อของเขา — นักแสดงชื่อดังในอดีตที่เคยแสดงละครเวทีเรื่อง Frankenstein’s Monster’s Monster, Frankenstein
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นคือ “เรื่องราวซ้อนเรื่อง” ซึ่ง David Harbour ต้องย้อนดูเทปการแสดงเก่าของพ่อ เพื่อค้นหาว่าชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ เขาเป็นอัจฉริยะในวงการศิลปะ หรือเป็นเพียงคนบ้าอำนาจที่หลงตัวเองกันแน่
🎭 เสียดสีวงการบันเทิงด้วยอารมณ์ขันแบบเหนือจริง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแนว “Mockumentary” หรือสารคดีจำลอง ที่เล่นกับความจริงและจินตนาการอย่างแนบเนียน
ผู้ชมจะได้เห็นการเล่าเรื่องผ่านฟุตเทจปลอม เทปเก่า และบทสัมภาษณ์ลึกลับที่ทำให้เราตั้งคำถามว่า อะไรคือเรื่องจริง และอะไรคือสิ่งที่สร้างขึ้นมา
สไตล์การเล่าเรื่องนี้เต็มไปด้วย อารมณ์ขันเสียดสี (satire) ที่เหน็บแนมวงการละคร โทรทัศน์ และความทะเยอทะยานของมนุษย์ในแวดวงศิลปะ ที่บางครั้งก็ “เล่นใหญ่จนเกินจริง”
🧩 David Harbour กับบทบาทสองชีวิต
หนึ่งในจุดเด่นของหนังคือ David Harbour ที่แสดงทั้งเป็น “ตัวเขาเอง” และ “พ่อของเขา” ในเวลาเดียวกัน
เขาต้องสวมบทบาทของชายวัยกลางคนที่พยายามเข้าใจตัวตนของพ่อ ผ่านหลักฐานเก่าๆ และคำพูดของคนรอบตัว
ในขณะเดียวกัน เขายังต้องเล่นเป็นพ่อในฉากย้อนอดีต ที่เต็มไปด้วยความเหนือจริงแบบละครเวทีเก่า
ผลลัพธ์คือการแสดงที่ทั้งตลกและน่าครุ่นคิด — เหมือนกำลังดูนักแสดงสองรุ่นที่สะท้อนกันเองในกระจกแห่งเวลา
🔍 โครงสร้างการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร
Frankenstein’s Monster’s Monster, Frankenstein (2019) มีความยาวเพียงประมาณ 30 นาที
แต่กลับใช้เวลาอันสั้นนั้นได้อย่างคุ้มค่า ด้วยการผสมผสานแนวสารคดี, ละครเวที, และหนังลึกลับเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ผู้ชมจะได้เห็นการตัดต่อที่ตั้งใจให้ “งง” แต่ก็ “น่าติดตาม” — มันคือความสับสนที่มีศิลปะ
ทุกฉากเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่แฝงความหมาย เช่น ไฟสลัว, กล้องเก่า, เสียงเทปขาด หรือบทพูดซ้ำๆ ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึง “ความจริงของความทรงจำ”
⚡ แรงบันดาลใจจาก Frankenstein ต้นฉบับ
ชื่อของหนังอาจฟังดูยาวและแปลกประหลาด แต่ทั้งหมดมีที่มาจากตำนานของ Frankenstein ผลงานคลาสสิกของ Mary Shelley ที่พูดถึง “การสร้างชีวิต” และ “การเล่นบทบาทของพระเจ้า”
ในเวอร์ชันปี 2019 นี้ แทนที่จะสร้างปีศาจจริงๆ หนังกลับตั้งคำถามว่า “ในวงการบันเทิง มนุษย์กำลังสร้างปีศาจจากชื่อเสียงหรือไม่?”
มันคือการตีความแนวปรัชญาที่ลึกซึ้ง ผ่านอารมณ์ขันสุดแสบและการประชดประชันแบบศิลปินตัวจริง
🧛♂️ สัญลักษณ์และความหมายในเชิงศิลปะ
ในหนัง เราจะเห็นตัวละครพูดถึง “แฟรงเกนสไตน์” ไม่ใช่เพียงในฐานะนักวิทยาศาสตร์ แต่ในฐานะ “ศิลปิน” ผู้สร้างสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
นี่คือสัญลักษณ์ของศิลปินยุคใหม่ ที่บางครั้งหลงใหลในผลงานของตนเองจนกลายเป็นทาสของมัน
และเมื่อ David Harbour ค้นหาความจริงของพ่อ เขาก็พบว่า “พ่อของเขาอาจเป็นแฟรงเกนสไตน์ตัวจริง” — ผู้สร้างตำนานที่ทำลายชีวิตตัวเองในเวลาเดียวกัน
🎬 สไตล์ภาพและโทนสีแบบคลาสสิก
การถ่ายภาพในเรื่องนี้ใช้โทนแบบภาพฟิล์มเก่า สีหม่น และแสงเงาที่ชวนให้นึกถึงละครโทรทัศน์ยุค 70s
ทุกอย่างตั้งแต่ฉาก เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงเสียงพากย์ ล้วนถูกออกแบบให้ดูเหมือนเทปเก่าจริงๆ
บรรยากาศนี้ช่วยเพิ่มความลึกลับและเสน่ห์เฉพาะตัว ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังขุดค้นหาความลับบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกาลเวลา
🕵️♂️ การตีความเรื่อง “ตัวตน” และ “ความจริง”
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าคิดคือประเด็นเรื่อง “ตัวตนที่แท้จริง”
David Harbour ในเรื่องไม่ได้เพียงค้นหาพ่อ แต่เขากำลังค้นหา “ตัวเอง” ผ่านเงาของพ่อ
มันคือการตั้งคำถามว่า “เราจะรู้จักตัวตนของเราได้อย่างไร ถ้าเราไม่เข้าใจรากเหง้าของตัวเราเอง?”
และในอีกแง่หนึ่ง มันยังสะท้อนให้เห็นถึงการที่ศิลปินทุกคนต้องต่อสู้กับเงาของตนเอง เพื่อไม่ให้ความทะเยอทะยานกลืนกินหัวใจ
💬 แง่คิดและสาระจากภาพยนตร์
แม้หนังจะมีโทนตลกประหลาด แต่แท้จริงแล้วมันแฝงไว้ด้วยสาระสำคัญเกี่ยวกับ “การยอมรับอดีต”
ไม่ว่าพ่อของ David Harbour จะเป็นคนดีหรือเลว เขาก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตลูกชาย
และในที่สุด David ก็เรียนรู้ว่า การทำความเข้าใจอดีต คือก้าวแรกของการสร้างอนาคตใหม่
นี่คือสารที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราวอันซับซ้อนของ “Frankenstein’s Monster’s Monster, Frankenstein”
🌟 ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงควรดู
-
เป็นภาพยนตร์สั้นที่ดูสนุกแต่มีความหมายลึกซึ้ง
-
เหมาะกับคนที่ชอบหนังแนวศิลปะ เสียดสี และเหนือจริง
-
ได้เห็นฝีมือการแสดงระดับสูงของ David Harbour
-
มีโครงสร้างการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร
-
ให้ข้อคิดเกี่ยวกับครอบครัว ตัวตน และชื่อเสียง
🔍 คีย์เวิร์ด SEO สำหรับบทความนี้
คีย์เวิร์ดหลัก:
Frankenstein’s Monster’s Monster, Frankenstein, พ่อผม แฟรงเกนสไตน์, รีวิวหนัง Netflix, หนังแนวลึกลับ 2019, หนังเสียดสี, หนัง Mockumentary, David Harbour
คีย์เวิร์ดรอง:
หนังตลกลึกลับ, หนังสารคดีปลอม, หนังศิลปะ, รีวิวหนังสั้น Netflix, หนังแนวแปลกใหม่, ภาพยนตร์เสียดสีวงการบันเทิง
บทความนี้เขียนตามแนวทาง Google AdSense Friendly Content — ไม่มีคำหยาบ, ไม่มีเนื้อหาละเมิดลิขสิทธิ์, และเหมาะกับทุกเพศทุกวัย
🎞️ สรุปความรู้สึกหลังชม
“Frankenstein’s Monster’s Monster, Frankenstein (2019)” คือหนังที่อาจทำให้คุณงงในตอนแรก แต่เมื่อดูจบแล้วจะพบว่ามันคือ “ศิลปะแห่งความสับสน” ที่เต็มไปด้วยความจริงของชีวิต
มันไม่ได้ตั้งใจให้เข้าใจง่าย แต่มันตั้งใจให้เราคิด
นี่คือหนังที่ตั้งคำถามกับคนดูมากกว่าจะให้คำตอบ
คำถามที่ว่า “ตัวตนของเราถูกสร้างขึ้นโดยใคร?”
บางทีคำตอบอาจไม่ใช่พ่อของเรา… แต่อาจเป็น “ปีศาจในใจเราเอง”
📽️ สรุปสั้นๆ สำหรับคนอยากรู้ว่าเรื่องนี้คุ้มดูไหม
-
ความยาว: ประมาณ 32 นาที
-
แนว: ลึกลับ / เสียดสี / ดราม่าตลกร้าย
-
ผู้กำกับ: Daniel Gray Longino
-
นักแสดงนำ: David Harbour
-
เหมาะสำหรับ: คนที่ชอบหนังสั้นแปลกใหม่ มีสาระ และชอบสำรวจความเป็นมนุษย์ในมุมศิลปะ
ถ้าคุณเบื่อหนังสูตรเดิมๆ และอยากดูอะไรที่ “เหนือชั้นแต่ไม่เข้าใจง่าย” เรื่องนี้คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ
✨ บทส่งท้าย
“Frankenstein’s Monster’s Monster, Frankenstein (2019)” ไม่ใช่แค่หนังตลกหรือหนังลึกลับ
แต่มันคือภาพสะท้อนของ “ศิลปะที่มองย้อนตัวเอง”
เป็นการสำรวจเส้นบางๆ ระหว่าง “ความอัจฉริยะ” และ “ความบ้า” ที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน
หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณหัวเราะในความงง และครุ่นคิดในความจริง
เพราะสุดท้ายแล้ว…
บางทีสิ่งที่เรากลัวที่สุด อาจไม่ใช่ปีศาจของแฟรงเกนสไตน์
แต่คือ “ปีศาจในใจของเราเอง”